แม้ว่าไวรัสเมอร์สสายพันธุ์ใหม่จะยังไม่มาถึงประเทศไทย แต่ควรรู้และป้องกันไว้ก่อน เพราะเป็นเชื้อใหม่ล่าสุดที่ยังไม่มียารักษา
ทำไมชื่อ เมอร์ส มาจากชื่อเต็มภาษาอังกฤษว่า Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) หรือเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง
ต้นกำเนิดของไวรัสเมอร์สไวรัสชนิดนี้ต้นกำเนิดจากประเทศซาอุดิอาระเบียและยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามีต้นกำเนิดจากคนหรือสัตว์หรือเชื้อใด แต่มีผลวิจัยระบุว่าอาจมีแพะเป็นพาหะนำเชื้อ และเป็นเชื้อไวรัสใกล้เคียงไวรัสในค้างคาวสายพันธุ์หนึ่ง ทั้งนี้วัสเมอร์สเป็นเชื้อไวรัสเดียวกับโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome-SARS) ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในเอเชียเมื่อปี พ.ศ. 2546
ความร้ายแรงของไวรัสเมอร์สผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเมอร์สจะมีอาการคล้ายเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมีไข้สูงไอ หายใจหอบ หายใจขัด ถ่ายเหลว หากเป็นหนักจะเสียชีวิตทันทีภายใน 3 -4 สัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเพศชาย โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกน้ำลายผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอจาม โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดร้อยละ 96 มีโรคประจำตัว 1 โรคหรือมากกว่า ได้แก่เบาหวาน รองลงมาคือความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต
การป้องกันเบื้องต้นไวรัสเมอร์ส1. กินร้อน- ช้อนกลาง- ล้างมือ 2. ใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปากเมื่อจาม 3. หลีกเลี่ยงไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด 4. สวมหน้ากากอนามัยหากต้องไปสถานที่ที่ผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์ 5. หมั่นออกกำลังกายและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง 6. มาพบแพทย์พร้อมแจ้งเจ้าหน้าที่หากมีประวัติเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดของเชื้อ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย การ์ตา จอร์แดน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ ฝรั่งเศส ตูนิเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน คูเวต มาเลเซีย กรีซ และฟิลิปปินส์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558
"กระทรวงสาธารณสุข" ประกาศให้ “ไวรัสเมอร์ส” เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที ใครฝ่าฝืนหรือปิดบัง มีโทษปรับไม่เกิน 2 พันบาท"
Ref : http://www.momypedia.com/
|