บทความชีววิทยา
Amelia Mary Earhart นักบินเดี่ยวชาวอเมริกัน
Amelia Mary Earhart นักบินเดี่ยวชาวอเมริกัน ผู้หญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2480 เอมิเลีย แมรี เอียร์ฮาร์ต (Amelia Mary Earhart) นักบินเดี่ยวชาวอเมริกัน ผู้หญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมเครื่องบิน Lockheed L-10E Electra บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก เอียร์ฮาร์ตเกิดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2440 ที่เมืองแอทชิซัน มลรัฐแคนซัส ครอบครัวของเธอมีปัญหาเนื่องจากพ่อกับปู่ของเธอไม่ลงรอยกัน เธออยู่ในความดูแลของปู่มาตั้งแต่เด็ก เธอเรียนพยาบาลและได้เข้าเป็นพยาบาลอาสาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนที่จะหันมาสนใจการบินอย่างจริงจังหลังจากได้เห็น แฟรงค์ ฮอว์คส์ (Frank Hawks) โชว์ขับเครื่องบินผาดโผน เอียร์ฮาร์ตเริ่มเรียนการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2464 ที่สนามบินคินเนอร์ (Kinner Field) เมืองลองบีช อีกหกเดือนต่อมา เธอก็ซื้อเครื่องบินปีกสองสีเหลืองมือสองและตั้งชื่อว่า "แคนารี" (The Canary) หรือเจ้านกขมิ้น จากนั้นวันที่ 22 ตุลาคม 2465 เธอบินสูงได้ถึงระดับ 14,000 ฟุต (4,200 เมตร) ทำลายสถิติโลกสำหรับนักบินสตรี ก่อนจะได้รับใบอนุญาตการบินนานาชาติในวันที่ 15 พฤษภาคม 2466 โดยเป็นผู้หญิงคนที่ 16 จากนั้นเธอได้สมัครเป็นสมาชิกสมาคมการบินแห่งชาติ สาขาบอสตัน และได้สร้างสนามบินเล็กของตัวเองพร้อมทั้งเป็นตัวแทนขายเครื่องบินไปด้วย ในขณะเดียวกันก็เขียนบทความเกี่ยวกับการบินลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในท้องถิ่น เอมิเลียได้รับการยกย่องจากหนังสือพิมพ์ว่าเป็นนักบินสตรีที่ดีที่สุดในสหรัฐฯ จนเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2475 เธอก็ได้เป็นนักบินผู้หญิงคนแรกที่บินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จ โดยออกบินจากท่าเรือเกรซ เมืองนิวฟาวด์แลนด์ ประเทศแคนนาดา มุ่งหน้าสู่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยเครื่องบินเครื่องยนต์เดี่ยว Lockheed Vega 5b ย้อนรอยเส้นทางที่ ชาร์ลส ลินด์เบิร์ก (Charles Lindbergh) ได้เคยทำสำเร็จก่อนหน้าในวันเดียวกันนี้เมื่อปี 2470 หลังจากที่บินมาได้ 14 ชั่วโมง 56 นาที เธอต้องพบกับสภาวะอากาศไม่ดีจึงต้องลงจอดกลางทุ่งหญ้าในเมือง Culmore ตอนเหนือของประเทศไอร์แลนด์ หลังจากนั้นเธอก็ได้แสดงฝีมือการบินเดี่ยวระยะไกลอีกหลายครั้ง พร้อมกับทำกิจกรรมรณรงค์ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี ความฝันของเธอคือการบินเดี่ยวรอบโลก เอียร์อาร์ตพร้อมกับ เฟรด นูแนน (Frederick Joseph Noonan) ต้นหน (navigator) ออกบินด้วยเครื่องบิน Lockheed L-10E Electra จากแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2480 ก่อนจะหายสาบสูญไปในที่สุด สหรัฐฯ ได้ใช้เงินถึง 4 ล้านเหรียญในการค้นหาเอมิเลียทั้งทางน้ำและทางอากาศ นับเป็นการค้นหาที่มีราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งยุคนั้น แต่ด้วยเทคนิคในการค้นหาในยุคนั้นยังค่อนข้างโบราณ การค้นหาจึงไม่บรรลุผล ได้มีการตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับการหายตัวของเอมิเลียและนูแนนมากมาย บ้างก็ว่าถูกเครื่องบินญี่ปุ่นดักบังคับให้ลงบนเกาะไซปันหรือถูกยิงตก ปัจจุบันเอกสารหลักฐานเกี่ยวการหายและการค้นหาที่เป็นทางการยังถูกปกปิดเป็นความลับ ติดตามเรื่องราวความรู้น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE Instagram : Science_illustrated_thailand |
ทำไมแมวดำ...ถึงเป็นลางนำโชคร้าย?
ทำไมแมวดำ...ถึงเป็นลางนำโชคร้าย?
ติดตามเรื่องราวความรู้น่าสนใจอีกมากมายได้ที่ นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand หรือสมัครสมาชิกได้ที่ http://postintermedia.com/subscription |
ว้าว ! ตั๊กแตนพิสูจน์ระเบิดได้
ว้าว ! ตั๊กแตนพิสูจน์ระเบิดได้ มนุษย์ใช้สัตว์ตรวจวัตถุระเบิดมานานแล้ว โดยเฉพาะสุนัขที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ตามหน้าจอทีวี รวมถึงหุ่นยนต์ที่นักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา และล่าสุดเมื่อปี 2016 ได้มีนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Washington ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ Baranidharan Raman ได้ทดสอบความสามารถในการตามกลิ่นของตั๊กแตน ซึ่งพวกมันมีทักษะการดมกลิ่นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์อย่างเก่งกาจ จากการทดสอบนี้จึงน่าจะมีความเป็นไปได้ที่มันจะตามกลิ่นวัตถุหรือวงจรระเบิดได้ด้วย ทีมวิจัยออกแบบรอยสักที่สามารถส่งผ่านความร้อนไปยังปีกของแมลง เพื่อควบคุมทิศทางการบินของมันได้ เมื่อตั๊กแตนพบวัตถุต้องสงสัย มันจะส่งสัญญาณประสาทไปยังคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่ติดอยู่บนลำตัว เพื่อตีเป็นสัญญาณด้วยแสง LED ว่า “ใช่ (สีเขียว)” หรือ “ไม่ใช่(สีแดง)” สำหรับทีมงานของ Ramen ได้วางแผนสร้างกองทัพตั๊กแตนพร้อมใช้งานในอีก 2 ปี หลังจากนี้ โดยการสนับสนุนจากสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพเรือของสหรัฐฯ ด้วยทุนวิจัย 750,000 เหรียญ Cr : นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand |
เปลือกหอยทากโตได้อย่างไร ?
เปลือกหอยทากโตได้อย่างไร ? ![]()
Cr : นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand |
ฟองน้ำป้องกันกระสุนได้
ฟองน้ำป้องกันกระสุนได้ ![]() ฟองน้ำได้รับการออกแบบมาให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นไปพร้อมๆ กัน โครงสร้างภายในของมันประกอบไปด้วยเข็มแคลเซียมขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกัน เรียกว่า ขวาก (spicules) ขวากทำให้ฟองน้ำยืดหยุ่นและแข็งแกร่ง จนยากจะใช้มีดตัดเป็น 2 ส่วน นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโจฮันเนส กูเตนเบิร์ก แห่งเมืองไมนซ์ และจากสถาบันมักซ์ พลังค์ เพื่อการวิจัยพอลิเมอร์ ได้สร้างขวากเทียมขึ้นมา โดยอ้างว่าวัสดุสังเคราะห์ชนิดใหม่นี้เหนือกว่าฟองน้ำมาก โดยเฉพาะในเรื่องความยืดหยุ่น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะขวากสังเคราะห์มีโปรตีนมากกว่า วัสดุนี้ดีมากสำหรับเสื้อกันกระสุนที่จะต้องมีทั้งความแข็งแรงและยืดหยุ่นมากพอให้คนเคลื่อนไหวได้ Cr : นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand |
ทากทะเลที่สังเคราะห์แสงได้ (Elysia chlorotica)
นี่ไง ! ...ทากทะเลที่สังเคราะห์แสงได้ ![]() ทากทะเล Elysia chlorotica มีรูปร่างเป็นแผ่นแบนสีเขียวเหมือนใบไม้ ไม่ใช่แค่รูปร่างเหมือนใบไม้อย่างเดียว มันยังสังเคราะห์แสงได้อีกด้วย ทากทะเลสังเคราะห์แสงโดยคลอโรพลาสต์ที่มันได้จากสาหร่ายที่กินเข้าไป (คลอโรพลาสต์เป็นออร์แกเนลล์ที่ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง) หลังจากย่อยสาหร่ายเรียบร้อย คลอโรพลาสต์จะถูกดูดซึมเข้าไปอยู่ในเซลล์ของทากทะเล มันจึงสร้างอาหารได้ด้วยการสังเคราะห์แสง การศึกษาล่าสุดยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ทากทะเล E. chlorotica มียีนที่สามารถสร้างคลอโรฟิลล์ได้ด้วยตัวเอง นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตครึ่งสัตว์ครึ่งพืชจริงๆ Cr : นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand |
จิงโจ้ สามารเดินได้หรือไม่?
จิงโจ้ สามารเดินได้หรือไม่? ![]() ด้วยโครงสร้างร่างกายแล้ว จิงโจ้เกิดมาเพื่อกระโดด...กระโดด...และกระโดด ว่าแต่พวกมันเดินได้บ้างหรือเปล่านะ ? จิงโจ้ เป็นสัตว์ที่ปรับตัวมาเพื่อเคลื่อนที่ด้วยการกระโดด สังเกตได้จากเท้าสองข้างที่อยู่ชิดกัน กล้ามเนื้อขาคู่หลังอันทรงพลัง ขาท่อนล่างที่ยาว และเท้าอันใหญ่โตผิดแผกจากสัตว์อื่นๆ ซึ่งช่วยให้มันกระโดดได้ดี ขาอันยาวเหยียดช่วยส่งตัวขึ้นสู่อากาศได้สูงและไกล เท้าขนาดใหญ่เป็นฐานที่มั่นคงในจังหวะลงพื้น จิงโจ้ตัวเต็มวัยกระโดดได้ไกลสิบกว่าเมตร และอาจจะทำความเร็วเกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง แม้ขาหลังยาวๆ จะช่วยให้จิงโจ้กระโดดได้เร็วและไกล แต่มันกลับเป็นอุปสรรคในการก้าวเดิน ขาคู่หลังของจิงโจ้ถูกล็อกให้เคลื่อนที่ไปด้วยกัน ไม่สามารถเคลื่อนไหวแยกกันได้อย่างอิสระ ท่าเดินของจิงโจ้จึงดูพิลึกพิลั่นกว่าสัตว์อื่น จิงโจ้จะใช้หางของมันเสมือนเป็นขาข้างที่ 5 ช่วยยันพื้นให้มันค่อยๆ คืบไปข้างหน้า ฉะนั้นสำหรับจิงโจ้แล้ว การเดินถือว่าเป็นการเปลืองพลังงานอย่างหนึ่ง เพราะการเดินอย่างงุ่มง่ามของจิงโจ้ใช้พลังงานเปลืองกว่าการเดินของสัตว์สี่เท้าชนิดอื่นๆ แต่ในทางตรงกันข้ามการกระโดดด้วยความเร็วสูง จิงโจ้กลับใช้พลังงานน้อยกว่า เนื่องจากเอ็นในขาหลังอันยาวเหยียดของมันสามารถแปลงพลังงานจากการลงกระทบพื้นมาเป็นพลังงานในการดีดตัวได้ถึงร้อยละ 60 การกระโดดในแต่ละครั้งของจิงโจ้จึงใช้พลังงานน้อยกว่าสัตว์อื่นๆ Cr : นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand |
ปรากฏการณ์แพลงก์ตอนทะเลเรืองแสง
ปรากฏการณ์แพลงก์ตอนทะเลเรืองแสง ![]() แพลงก์ตอนที่เรืองแสงสว่างไสวท่ามกลางมหาสมุทรสีดำมืดมิดเป็นภาพที่เราพบเห็นกันอยู่บ่อยครั้ง โดยเราเรียกปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ว่า “การเรืองแสงที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีของสิ่งมีชีวิต” (bioluminescence) พวกมันเรืองแสงได้อย่างไรนั้นยังคงเป็นปมปริศนาที่รอคอยคำอธิบายตลอดมา จนกระทั่งเมื่อปี 2013 นักวิทยาศาสตร์พบว่าการกระเพื่อมของน้ำทะเลส่งกระแสไฟฟ้าไปยังช่องพิเศษในเยื่อหุ้ม (membrane) ของแพลงก์ตอนทะเลจนเกิดปฏิกิริยาทางเคมีจำนวนมากที่ไปกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ลูซิเฟอเรสหรือโปรตีนที่ผลิตแสงของพวกมัน Cr : นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand |
มลพิษทำให้ปลาเปลี่ยนเพศได้
มลพิษทำให้ปลาเปลี่ยนเพศได้ ![]() น้ำที่ปนเปื้อนด้วยสารซึ่งรบกวนฮอร์โมนอาจมีผลอย่างมากกับปลาบางชนิด จนอาจทำให้พวกมันกลายเพศได้ นักชีววิทยาทดสอบทฤษฎีนี้กับปลาม้าลาย ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อฮอร์โมนค่อนข้างมาก เพศของปลาม้าลาย ไม่ได้ถูกกำหนดผ่านโครโมโซมเพศ แต่ก็ต้องอาศัยกลไกควบคุมทางพันธุกรรม ผลการวิจัยสาธิตว่า สารคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรนที่เจือปนอยู่ในน้ำสามารถส่งผลให้ปลากลายเพศเป็นตัวผู้หรือตัวเมียได้ทั้งฝูง ยกตัวอย่างเช่น ปลาที่ได้รับสารคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนจะผลิตไข่ในลูกอัณฑะแทนอสุจิ Cr : นิตยสาร Science Illustrated :http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/SCIENCE เว็บไซต์ : http://bit.ly/1qasxo8 Facebook: facebook.com/SCIENCEILLUSTRATEDThailand Instagram : Science_illustrated_thailand |
Medical Genomics
1-10 of 17